Sunday, January 22, 2017

ทำอย่างไร เมื่อเด็กทางเลือก ต้องไปสอบสายวิชาการ

ทำอย่างไร เมื่อเด็กทางเลือก ต้องไปสอบสายวิชาการ?

คำตอบ = ทำความเข้าใจ และ ไม่คาดหวัง

กรณีตัวอย่างของลูกสาวค่ะ เรียนในชั้นอนุบาล รร. ทางเลือกมา 4 ปี ปีนี้กำลังจะต้องย้ายขึ้น ป.1
พาลูกไปสอบเข้า รร.พระมารดานิจจานุเคราะห์  1 ใน รร. ที่มีสายวิชาการเข้มเข็งมาก ย่านบางกะปิ
จริงๆที่พาไปลองสอเพราะ รร. ใกล้ที่พัก และเผื่อฟลุค ลูกจะได้ไม่เหนื่อยเดินทาง

ข้อสอบ ป1.   รร.พระมารดานิจจานุเคราะห์ เด็กๆต้องอ่านข้อสอบเองได้
ซึ่ง ...ไอวี่ ยังอ่านหนังสือไม่ค่อยได้  ^^ "  เพื่อนๆในห้องรร.ทางเลือก 19 คน มีอ่านออกสะกดได้ 1 คน
เอาแล้วหละสิปัญหาโลกแตก สำหรับเด็กสายทางเลือกที่จะเข้าสู่ระบบสามัญ ตามกระทรวงศึกษาธิการ

ทำความเข้าใจ =>
เป็นที่รู้ๆกันเด็กทางเลือกจะไม่เน้นอ่านเขียน ไม่เร่งเรียน ดังนั้น น้อยนักที่เด็กทางเลือกจะอ่านออก ยกเว้นเค๊าสนใจเอง

ไม่คาดหวัง  =>
แม่จึงต้องไม่ตั้งความ "คาดหวัง" เพื่อไม่กดดัน ลูก เพราะคุณเลือกเดินทางเลือกมานานแล้ว จู่ๆจะให้ลูกเก่งกาจด้านวิชาการเหมือนเด็กสายวิชาการคงจะยากอยู่

เพียงแต่ว่า ถ้าฟลุ๊คติดขึ้นมา แม่ก็ไม่กลุ้มค่ะ ไม่จำเป็นต้องกังวลในตัวลูกว่าจะเรียนทันเพื่อนหรือไม่
จากประสบการณ์แม่ทางเลือกท่านอื่นๆแชร์มา พบว่าเด็กๆเรียนกันทันแน่ภายใน1-2 ปี  เพราะลูกเรามีฐานอารมณ์ที่พร้อม การเรียนรู้และปรับตัวย่อมง่าย


************************************************

สอบเสร็จแล้วไอวี่เดินหน้ามุ่ยมาหาแม่...

สัมภาษณ์หลังออกจากห้องสอบ

แม่: เป็นงัยทำได้มั้ย?

ไอวี่: หนูไม่มั่นใจเลย มันยากมาก
หนูอ่านไม่ออก ถามคุณครูแล้ว คุณครูบอก"ครูช่วยไม่ได้"

แม่: แล้วอ่านได้กี่ข้อหละ?

ไอวี่: ไม่รู้ไม่ได้นับ. แต่หนูอ่านคำว่า โรงเรียน กับ แตงกวาได้นะ ^_^

แม่: แล้วถามอะไรบ้าง?

ไอวี่: ยิ้มกริ่ม ... เอ่อ.. ไม่รู้อ่านไม่ออก ^^"
หนูวงกลมข้อน่ารัก (เดา)ไปนะ ภาษาอังกฤษก็อ่านไม่ออกเลย. มันโหดมากกกก (ไอวี่ลากเสียง)

แม่: วงข้อน่ารักทุกข้อเลยหละสิ? (แม่ยิ้ม..หรี่ตา)

ไอวี่: พยักหน้า...ใช่ๆ. (หยุดคิดนิดนึง)
แต่มีทดเลขด้วยนะ. ง่ายมากเลย หนูทำได้นะ ( หน้าตาภูมิใจ)

แม่ : หนูคิดว่าจะสอบติดมั้ย?

ไอวี่: (ตอบอย่างมั่นใจ )
"ไม่ติดค่ะ". ^__^



----- จบบทสัมภาษณ์-------



วิ่ง ปรู๊ด....ดด ไปเล่นเครื่องออกกำลังกาย อย่างร่าเริง


************************************************************

จะสังเกตเห็นว่า เด็กแนวทางเลือกเค๊าเข้าใจความสามารถตัวเอง ทำได้หรือไม่เค๊าสามารถบอกได้ ประเมินตนเองเป็น เค๊ายอมรับและภูมิในในตัวเองเสมอ  ถึงแม้เค๊าจะสอบไม่ได้จริงๆ แม่ก็ดีใจค่ะ เพราะลูกของเรามีสุขาพจิตที่ดี และเราเองก็ไม่เครียดด้วยเพราะเราเข้าใจสิ่งที่ลูกเราเป็นและเราเลือกเดิน



*********************************************************
ทำไมไม่เลือกสายทางเลือกต่อ? ทำไมไม่ส่งเสริมลูกให้ไปในทางที่เค๊าควรจะเป็น?
' ใจจริงอยากไปต่อค่ะ' เพราะเรารู้ว่าโรงเรียนทางเลือกดีจริงๆ และเหมาะกับไอวี่มากๆ แต่มีหลายๆเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน มีหลายเหตุผล หลายปัจจัยที่เราต้องวิเคราะห์และชั่งน้ำหนัก แต่ละครอบครัวแต่ละคนก็มีปัญหาต่างๆกันไป เหตุผลการตั้งใจย้ายเข้าสู่ระบบสามัญในระดับต่อไปนั้น ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ "เหมาะสมที่สุด" สำหรับไอวี่ในตอนนี
ไม่ว่าอย่างไรก็ขอขอบคุณทุกคนที่รักและห่วงใย และมีความปราถนาดีๆให้แก่กันเสมอ ^__^
ดีใจที่มีหลายคนรักและห่วงใยเรา

Thursday, January 12, 2017

G6PD กับการเดินป่าอันตรายหรือไม่?


อีก 2 วันโรงเรียนอนุบาลของลูกสาว กำลังจะพาไปทำกิจกรรมเดินป่าที่เขาใหญ่  กม.33 เป็นกิจกรรมส่งท้ายชั้นอนุบาล 3 ที่ไปกันครบทุกบ้าน คาดว่าคงจะเป็นกิจกรรมที่ประทับอยู่ในความทรงจำของเด็กๆอีกเนิ่นนาน

วันนี้ได้ความรู้ใหม่เรื่องโรค g6pd เนื่องจากมี Issue ใน  line group ผู้ปกครอง เนื่องจากคุณแม่ท่านนึง กังวลใจเกี่ยวกับโรคประจำตัวของลูก คือน้องเป็นโรค G6PD คุณหมอประจำแนะนำควรหลีกเลี่ยงการเดินป่าเพราะว่าอันตราย

G6PD คืออะไร?
G6PD (อังกฤษ: Glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency) หรือ โรคพร่องเอนไซม์
เป็นโรคทางพันธุกรรมโรคหนึ่งซึ่งทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นต่างๆ
อาการของโรคก็คือ ภาวะซีดจากการที่เม็ดเลือดแดงแตกอย่างฉับพลัน โดยในเด็กทารกจะพบว่ามีอาการดีซ่านที่ยาวนานผิดปกติ
ส่วนในผู้ใหญ่นั้นจะพบว่า ปัสสาวะมีสีดำ ถ่ายปัสสาวะน้อยจนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันได้
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้การควบคุมสมดุลของสารเกลือแร่ต่างๆของร่างกายเสียไปด้วย โดยเฉพาะการเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง

ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม  https://th.wikipedia.org/wiki/โรคพร่องเอนไซม์_G-6-PD

แล้ว  G6PD กับการเดินป่าอันตรายอย่างไร?
แน่นอน...ที่อันตรายเพราะว่า ผู้เป็นโรคนี้ไม่สามารถใช้ยาบางกลุ่มได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ  ยารักษาโรคมาลาเรีย
ในป่ามียุง ยุงเป็นพาหะนำเชื้อมาเลเรียมาสู่คน  ถ้าน้องไปเดินป่าแล้วแจ๊คพ็อตโดนยุงที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ... น้องจะเป็นไข้มาลาเรีย
และ ยารักษาโรคมาลาเรีย ไม่สามารถใช้กับผู้เป็น G6PD นั่นคือน้องเสี่ยงที่จะป่วยหนักเพราะโรคมาลาเลีย

คำถามต่อมาถ้า ลูกของคุณเป็น G6PD จะเสี่ยงให้เดินป่ามั๊ย?  นี่แหละปัญหาคาใจที่คุณแม่ท่านนั้นกังวล

ทางเพื่อนๆ ผปค. ช่วยกันระดมความคิดและปรึกษากัน คุณแม่เองก็ได้ไปถามเพื่อนที่เป็นหมอว่า เด็กเป็นG6PD เดินป่าอันตรายมั๊ย?
คำตอบคืออันตราย ... > - <   แต่ป่าแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกัน บางแห่งไม่มีมาลาเรียระบาด เมื่อตรวจสอบไปที่เขาใหญ่ทางโน้นบอกว่าที่นั่นไม่มีมาลาเรียระบาดมานานมากแล้ว

คุณพ่อคุณแม่ของน้องที่เป็น G6PD เองก็ไปปรึกษาคุณหมอเด็กและหมอโรคติดเชื้อเช่นกัน ปรากฎว่าได้คำตอบเหมือนๆกันคือ ....
 ให้ดูความเหมาะสม และป่าก็ไม่ได้มีมาลาเรียทุกแห่ง ถ้าจะเดินป่าให้เดินตอนกลางวัน และสวมเสื้อผ้ามิดชิด ทาโลชั่นกันยุงบย่อยๆ แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจพ่อแม่

สรุปคือ คุณพ่อขอไปดูหน้างานอีกรอบ ว่าสมควรจะเสี่ยงให้ลูกเดินป่ากับเพื่อนๆหรือไม่?

โรงเรียนทางเลือกไม่ดี!

โรงเรียนทางเลือกไม่ดี!
คุณแม่ได้ไปอ่านวิจารณ์โรงเรียนทางเลือกจากกระทู้หลายแห่ง ถ้าสังเกตให้ดีกระทู้ที่ให้แนวคิดแง่ลบมักจะมาจาก ผปค.ที่ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด ฟังเค๊ามา ดูลูกเพื่อนแล้ววิเคราะห์เอง หรือมีประสบการณ์ไม่ดี หรือเคยส่งลูกเรียนในแนวทางเลือกแต่เปลี่ยนใจย้ายออกเสียก่อน

สรุปลูกไม่ได้เรียนแนวทางเลือกจนจบชั้นอนุบาล 3 คุณแม่ไอวี่เชื่อว่าทุกคนรักลูก แต่ความคิดความเชื่อ มันก็อยู่ที่บุคคลแล้วแต่วิเคราะห์เอาเอง

ไม่แปลกถ้าจะดูว่าแนวทางเลือกไม่ดี เพราะการศึกษาแนวนี้ยังใหม่สำหรับประเทศไทย แต่เก่าสำหรับบางประเทศที่พัฒนาแล้ว บางทีอาจจะดูได้ว่ายังไม่เหมาะกับประเทศเรานัก เพราะสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ยังเปลียนได้ยาก ความเชื่อเดิมๆ ความคิดเดิมๆ คนเดิมๆ ระบบเดิมๆ ความมั่นใจเดิมๆยังคงอยู่ และแน่นอนที่สุดเรายังต้องการแรงงานในตลาดแรงงาน การศึกษาในระดับประเทศจึงยังมุ่งเน้น ทำตาม ท่องจำ สอบแข่งขัน ทำคะแนนสูงๆ จบออกมามีหน้าที่การงานดีเงินเดือนสูงๆ เราเลือกที่จะทำแบบนั้นก็ไม่ผิด และไม่แน่อนาคตไอวี่เองก็อาจจะต้องเข้าสู่ระบบนี้

ข้อพึงปฏิบัติ หรือมองว่าเป็นข้อห้าม ที่ดูเหมือนจะยุ่งยากสำหรับชีวิต เช่นห้ามดูทีวี ห้ามไปห้างสรรพสินค้าห้าม ดื่มนมช็อกโกแลต ห้ามใส่ชุดการ์ตูนเด่นดัง .. มีจริงใน รร. ทางเลือกหลายโรงเรียน
แล้วแต่ความเข้มข้นของแต่ละโรงเรียน โดยเฉพาะแนววอลดอร์ฟ โรงเรียนแนวนี้เด็กต้องดูแลตัวเอง เด็กๆความเป็นตัวตนสูง มีวินัย มีความเป็นธรรมชาติ แข่งกับตนเอง อดทนขยัน รับผิดชอบ เรียนรู้โดยการค้นคว้าและวิเคราะห์ ไม่ใช่ท่องจำจากตำรา

ทุกอย่างในข้อพึงปฏิบัติมีเหตุและผล
ทำไมถึงห้ามดูทีวี จริงๆเค๊าห้ามเฉพาะวัยอนุบาล-ประถมไม่ได้ห้ามตลอดชีพ จริงๆแล้วเราสามารถให้ดูได้ไม่เกินวันละ 1- ชม. เพราะมีวิจัยยืนยันผลกระทบจากการดูทีวี ทำให้สมาธิสั้น ทำลายสายตา และบั่นทอนความอดทน
ทำไมถึงห้ามดื่มนมช็อกโกแลต เพราะช็อกโกแลตมีผลต่ออารมณ์ในเด็ก ทำให้เกิดการวีนเหวี่ยงได้ง่าย ฟันผุ อ้วน
ทำไมถึงห้ามใส่ชุดการ์ตูนเด่นดังหรือเอาของที่มีลายการ์ตูนไป - เพราะของเหล่านั้นรบกวนสมาธิในการเรียนรู้ของเด็ก แย่ไปกว่านั้นสามารถกระตุ้นนิสัยลักขโมย หรือ อิจฉาเพื่อนด้วย
ทำไมๆๆๆ เยอะไปหมด แต่ข้อพึงปฏิบัติทั้งหมดนั้นก็เพื่อการสร้างลักษณะนิสัยและสุขภาพที่ดีของเด็ก

คำถาม คุณอยากให้ลูกเป็นแบบนี้มั๊ย? และคุณพร้อมไหมที่จะเป็นพ่อแม่ที่มีวินัย เสียสละเพื่อลูก? ถ้าคิดเลือกแนวทางเลือกเถอะ คุณแม่แนะนำ

พูดถึงโรงเรียนอนุบาลช้างเผือกที่ไอวี่เรียนอยู่ เป็นทางเลือกผสมสายกลางที่ไม่เข้มข้นนัก คือมีทั้ง มอนเตส วอลดอร์ฟ วิถีพุทธ และ เรียนวิชาการผ่านการเรียนรู้ ไม่ได้มีข้อห้ามมากมายขนาดแนววอลดอร์ฟ แน่นอนเด็กเราก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าแนววอลดอร์ฟ แต่คุณแม่เลือกแล้วเพราะคิดว่าเป็นทางสายกลางที่ยืดหยุ่นได้ เราไม่อึดอัด ลูกได้รับการฝึกที่ดี "เหมาะกับเรา"

แม่ไอวี่ ในฐานะ แม่ของเด็กหญิงวัยอนุบาลแนวทางเลือก ที่กำลังจะจบชั้นอนุบาล 3 ปีนี้ อยากจะบอกความรู้สึก ของผ.ป.ค. ที่ได้สัมผัสโรงเรียนตลอดเวลา 4 ปี และปีนี้เป็น ผ.ป.ค อาสาเต็มตัว
ให้ลูกเรียนที่นี่มา ตั้งแต่ห้องต้นน้ำเตรียมอนุบาล (2 ขวบครึ่ง) ทั้งปัญหาค่าเทอม ปัญหาครูขาดแคลน ผ่านอุปสรรคกันมากมายกว่าจะมายืนจุดนี้ ทุกครอบครัว ทุกโรงเรียนก็มีปัญหาคนละแบบกันไป

ปัจจุบัน ห้องของไอวี่มี นร. 19 คน ผู้ปกครองค่อนข้าง แน่นแฟ้นกันพอสมควร สังคม ผ.ป.ค. ที่นี่บอกได้เลย ทุกบ้านเอาใจใส่ลูกมากๆ และนิสัยดี คอยแชร์ คอยช่วยเหลือ ไม่เอาเปรียบกัน  เราแข่งกันเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้แข่งสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง ที่นี่เป็นสังคมตัวอย่างที่ดีที่ให้ลูกเราเดินตาม เราไม่ได้มองโลกสวยงาม แต่เราพยายามปลูกจิตคิดบวก ให้เป็นภูมิต้านทานสังคมเลวร้ายที่จะต้องเผชิญต่อไปในอนาคต

ที่สำคัญลูกสาวมีความมั่นใจ มีความสุข เป็นเด็กดี และคุณแม่ ภูมิใจค่ะ ^__^
(เราไม่ได้เน้นให้เรียนเก่ง แต่เราหวังให้ลูกมีความสุข และ มีความมั่นคงทางจิตใจ )

โรงเรียนทางเลือกไม่ดี!
ใช่...แม่ยืนยัน แต่เฉพาะในมุมมองของครอบครัวที่อยากให้ลูกเป็นเด็กเรียนเก่งเข้า รร. ดังๆ
แน่นอนเด็กอนุบาลทางเลือก มักไปสอบเข้า ป1. โรงเรียนดังๆสายวิชาการไม่ติด (ถ้าไม่ติวเข้มจัดๆหรือบริจาคเยอะๆ) ดังนั้นพ่อแม่สายทางเลือกเองจึงควรมีความมั่นคงทางจิตใจและมุ่งมั่นแนวทางตนเองต่อไป

สมองเด็ก 1-6 ขวบ

1-6 ขวบ วัยสร้างรากฐานนิสัย และอารมณ์

ห่างหายจากการอัพเดท Blog  คุณแม่มือใหม่มานานมาก เพราะเวลาว่างตอนตั้งครรภ์หายสาบสูญไปพร้อมกับการกำเนิดของลูกน้อย  แน่นอน 6 ปีผ่านไปไวยังกับเรื่องโกหก  ตอนนี้ดิฉันไม่ใช่คุณแม่มือใหม่สำหรับเด็กทารกแล้ว กำลังก้าวข้าสู่แม่มือใหม่ของเด็กวัยอนุบาล  ที่กำลังจะเติบโดเป็นเด็กประถมต้น  ดูเหมือนเวลาว่างเริ่มกลับมาสู่เรา หลังจาก วุ่นวายกับลูกน้อยยาวนานถึง 6ปี

จากการศึกษาเชิงวิชาการ (อ่านมาเยอะ ขยันกว่าตอนสอบเข้าอีก) ย่อยการศึกษาค้นคว้ามาได้ว่าวัย 1-6 ขวบ เป็นวัยที่สร้างรากฐานนิสัย และอารมณ์ ให้กับลูกน้อย




วัย 1-6 ขวบนี้ เซลล์สมองกำลังแตกกิ่งก้านสาขา เติบโตเร็วมาก และเมื่อเลยวัยนี้ไป เซลล์สมองก็จะเติบโตช้าลง รวมทั้ง มีการกำจัดทิ้งในส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน ดังนั้นเวลาทอง 6 ปีแรกพ่อแม่ควรกระตุ้นและใส่ใจลูกมากๆ เพื่อการแตกแขนงของเซลล์สมอง ไว้รองรับการเรียนรู้ในอนาคต คุณแม่เคยปรึกษาคุณหมอระบบประสาทวิทยาท่านหนึ่ง บอกว่าทฤษฎีการเจริญเติบโตการกระตุ้นสมองเป็นจริงและเห็นผล  แต่..... ข้อระวังคือ กระตุ้นผิดวิธี สมองจะปิด และชะงักการเติบโตเอาได้เหมือนกัน  และคุณหมอยังบอกอีกว่า "ดูประเทศสิงคโปร์สิ ความก้าวหน้าทางการศึกษาเค๊าระดับโลก ... ผมเห็นวัยอนุบาลเค๊ายังวิ่งเล่นกันอยู่เลย เค๊าจะเริ่มเข้มช่วงประถมกัน. ไม่เหมือนไทยเป็นอะไรกันไม่รู้  ส่งลูกติวกันตั้งแต่อนุบาล...  ผมว่าวัยเด็กเล็กเค๊าควรจะได้เล่นเยอะๆมากกว่านะ"







ใครว่าเด็กเล็กสอนยาก ....ไม่จริงเลย รู้ไหมประสบการณ์ตรงพบว่าว่าวัย 1-3 ขวบ ลูกสามารถเรียนรู้ได้เร็วมากๆ การที่เล่นและสอนอะไรให้เค๊า มันคือสิ่งใหม่ มันคือเรื่องสนุก ที่เด็กๆอยากรู้ แววตาสดใสเบิกกว้างนั้นจะค่อยๆหายไป เมื่อเข้าอนุบาลตอนปลาย จะพบว่าวัยอนุบาล 2-3 เป็นวัยที่สอนยากที่สุด เพราะเด็กเรียนรู้อารมณ์ เรียนรู้ความเบื่อ พร้อมที่จะท้าทายและ ปฏิเสธเสมอ ถ้าพ่อแม่ไม่มีเทคนิคละก็สอนยากมาก ...  ไว้จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราต้องสอนการบ้านลูกๆ ^^